Drawdown คืออะไร? ทำความรู้จัก Drawdown

    1.Drawdown คืออะไร?

    Drawdown คือ การลดลงจากจุดสูงสุดสู่ระดับต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่งๆ ของการลงทุน ของบัญชีเทรด หรือกองทุน Drawdown จะถูกคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ระหว่างจุดสูงสุด และระดับที่ตามมา ยกตัวอย่างเช่น หาก บัญชีเทรดของคุณมีเงินอยู่ 10,000 บาท และเงินทุนของคุณลงไปเหลือที่ 9,000 บาท ก่อนที่จะขึ้นกลับไปอยู่ที่ 10,000 บาทอีกครั้ง นั่นหมายความว่า บัญชีเทรดบัญชีนี้ของคุณมี Drawdown 10 เปอร์เซ็นต์

    Drawdown มีความสำคัญสำหรับการวัดความเสี่ยงในอดีตของการลงทุนต่างๆ การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของกองทุน หรือการตรวจสอบประสิทธิภาพการซื้อขายส่วนบุคคล Drawdown จะยังมีผลตราบเท่าที


    Drawdown หรือการขาดทุนจะยังคงมีผลตราบเท่าที่ราคายังคงต่ำกว่าจุดสูงสุด จากตัวอย่างด้านบน เราจะไม่รู้ว่า Drawdown ของบัญชีเราคือ 10% จนกว่าเงินในบัญชีจะกลับไปเป็น 10,000 บาทเท่าเดิม เมื่อเงินในบัญชีของเรากลับไปที่ 10,000 ตอนนั้น Drawdown ก็จะถูกบันทึกไว้

    วิธีการบันทึกการขาดทุนแบบนี้มีประโยชน์ เนื่องจากระยะจากจุดสูงสุดถึงต่ำสุด ไม่สามารถวัดได้จุดสูงสุด (peak) ใหม่จะปรากฏขึ้น ตราบใดที่ราคาหรือมูลค่ายังคงต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิม จุดที่ต่ำกว่าอาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งจะเพิ่มปริมาณของการขาดทุน

    Drawdown ช่วยในการวัดความเสี่ยงทางการลงทุน อัตราส่วนเงินสกุลปอนด์ สเตอร์ลิงของอังกฤษใช้ Drawdown ในการเปรียบเทียบผลตอบแทนที่เป็นไปได้ของหลักทรัพย์กับความเสี่ยง

    หากเรากำลังพูดถึงหุ้น Drawdown คือ ค่าลบครึ่งหนึ่งของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation) ที่สัมพันธ์กับราคาหุ้น Drawdown ราคาหุ้นสูงไปต่ำถือเป็นจำนวนเงินที่ขาดทุน หากหุ้นร่วงจาก 100 บาท เป็น 50 บาท แล้วกลับมาที่ 100.01 บาทขึ้นไป การขาดทุนจะอยู่ที่ 50 บาท หรือ 50% จากจุดสูงสุด

    2.ประเภทของ Drawdown

    2.1 Maximal Drawdown

    Maximal Drawdown คือ การวัดการลดลงของราคาที่มากที่สุดของสินทรัพย์นั้นๆ จากจุดสูงสุด มาที่จุดต่ำสุด Maximal Drawdown ถือเป็นตัวบ่งชี้ความเสี่ยงด้านลบ โดย Maximal Drawdown ขนาดใหญ่จะบ่งชี้ว่าการเคลื่อนไหวขาลงอาจมีความผันผวน โดย Maximal Drawdown จะวัดการขาดทุน หรือการสูญเสียที่มีขนาดใหญ่ที่สุด โดยไม่ได้คำนึงถึงความถี่ของการขาดทุน หรือปริมาณของการทำกำไรของบัญชี

    หากจะให้อธิบายให้เข้าใจมากขึ้น Maximum drawdown การเบิกเงินสูงสุดคือการวัดค่าการขาดทุนที่เฉพาะเจาะจงซึ่งจะมองหาการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากจุดสูงไปยังจุดต่ำสุด ก่อนถึงจุดสูงสุดใหม่ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่นักลงทุนควรรู้ คือ Maximum drawdown จะวัดเฉพาะขนาดของการขาดทุนที่ใหญ่ที่สุด โดย Maximum drawdown จะไม่ได้บอกว่านักลงทุนต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการฟื้นตัวจากการขาดทุน หรือการขาดทุนจะมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นมาอีกหรือไม่

    2.2 Relative Drawdown

    Relative Drawdown คือ การขาดทุนแบบสัมพัทธ์ ซึ่งหมายถึงการลดลงของเงินในบัญชี เมื่อเทียบกับจำนวนเงินสูงสุด โดยมักจะมีการคิดออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์ ยกตัวอย่าง เช่น หากคุณเพิ่มเงิน 10,000 บาทเข้าบัญชี และขาดทุนไป 2,000 บาทภายในระยะเวลา 1 เดือน ในกรณีนี้ การขาดทุนสัมพัทธ์ คือ 20% (ขาดทุน 2,000 บาท จากยอดเงินสูงสุดในบัญชี 20,000 บาท)

    2.3 Absolute drawdown

    Absolute drawdown คือ การขาดทุนแบบสัมบูรณ์ โดยมันจะแสดงถึงความแตกต่างระหว่างการฝากเงินครั้งแรก และจุดต่ำสุดที่ต่ำกว่าระดับเงินฝาก ตัวอย่างเช่น หากจำนวนเงินฝากในบัญชีของคุณ คือ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ มูลค่าพอร์ตสูงสุดของคุณ คือ 16,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ  โดยมีขั้นต่ำอยู่ที่ 7,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ การขาดทุนแบบสัมบูรณ์ จึงคำนวณได้โดยเอา 10,000-7,000 = 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ


    การขาดทุนแบบสัมบูรณ์ หรือ Absolute drawdown จะวัดปริมาณความเสี่ยงเบื้องต้นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน Absolute drawdown แสดงให้เห็นว่าการขาดทุนนั้นมีปริมาณแค่ไหน เมื่อเทียบกับเงินฝากเริ่มต้นระหว่างการซื้อ-ขาย หากมูลค่าการขาดทุนเป็น 0 นั่นแสดงว่าไม่มีเงินทุนที่มีความเสี่ยง

    3. วิธีออกจาก Drawdown

    แน่นอนว่าไม่มีใครอยากมี Drawdown สูงๆ และแม้ว่าเราจะไม่อยากให้บัญชีเรามี Drawdown แต่นี่เป็นเรื่องที่แทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยในการเทรด เพราะฉะนั้น นักลงทุนควรหาวิธีรับมือกับ

    Drawdown เมื่อมันเกิดขึ้น ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ง่าย และธรรมดามากที่สุดในการรับมือกับ Drawdown ก็คือ การปิดสถานะการซื้อ-ขายที่กำลังขาดทุนนั้นไปเสีย

    ในกรณีที่การตั้งค่าการซื้อ-ขาย ยังคงใช้งานอยู่ แต่คุณไม่อยากรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ นักลงทุน หรือเทรดเดอร์ สามารถออกจากสถานะบางส่วน เพื่อลดเปอร์เซ็นต์ Drawdown ทั้งหมดลง

    อีกวิธีหนึ่งที่เทรดเดอร์สามารถนำมาใช้รับมือ  คือ การเพิ่มสถานะการซื้อ-ขาย ที่จะได้กำไรในทิศทางตรงกันข้าม ซึ่งจะมีรูปแบบคล้ายๆ กับการทำ Hedging ยกตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อสกุลเงิน USD/JPN คุณสามารถทำ Hedging ได้โดยการซื้อ CHF/USD


    การจัดงานเงิน (money management) เป็นอีกวิธีหนึ่งที่อาจช่วยเทรดเดอร์ ในการลด Maximum Drawdown ได้ โดยมีการจัดการเงินอยู่หลายวิธีด้วยกัน บางวิธีอาจจะโฟกัสไปที่กำไรสูงสุด (maximum profit) ในขณะที่บางส่วนอาจจะโฟกัสไปที่การจัดการความเสี่ยง ยกตัวอย่างเช่น กลยุทธ์แบบปิรามิด (เพิ่มสถานะการซื้อ-ขายที่กำลังทำกำไรอยู่ ณ ขณะนั้น) อาจช่วยเพิ่มกำไรของกลยุทธ์ ในขณะที่เปอร์เซ็นต์ของ Drawdown หรือการขาดทุน อาจจะยังมีค่าเท่าเดิม หรือเพิ่มขึ้น

    การคำนวณปริมาณการทำธุรกรรม บนพื้นฐานของความเสี่ยงของอัตรากำไร อาจช่วยเพิ่มกำไรให้นักลงทุน และลด Drawdown ในบัญชีลงได้ แต่วิธีนี้ อาจจะใช้ไม่ได้ผลในระยะยาว

    เทรดเดอร์ที่ต้องการหาวิธีรับมือ Drawdown อาจจะลองตั้ง เปอร์เซ็นต์ที่สามารถขาดทุนได้สูงสุดหรือ Maximum Drawdown ไว้ล่วงหน้าได้ ยกตัวอย่างเช่น การตั้ง Maximum Drawdown ไว้ที่ 20% หรือในตอนแรก อาจตั้งค่าความเสี่ยงไว้ที่ 1 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละการซื้อ-ขาย และหากมีการขาดทุนเกิดขึ้น อาจจะค่อยๆ ลดความเสี่ยงเหลือเพียง 0.9 เปอร์เซ็นต์ จากนั้น ค่อยปรับไปเป็น 0.8 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น

    สิ่งที่สำคัญที่สุดคือยิ่งการขาดทุนใกล้ถึง 20% ความเสี่ยงในการเทรดนั้นจะน้อยลง ดังนั้นความน่าจะเป็นที่ Drawdown จะไปถึง 20% ก็จะน้อยลง หากไดนามิกเป็นบวก ความเสี่ยงควรกลับไปเป็น 1%


    ทั้งนี้ วิธีแก้ไข Drawdown ของพอร์ตนั้นมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน แต่นักลงทุนจะเลือกใช้วิธีไหน ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ และทักษะของนักลงทุน หรือในตลาด Forex

    4. Drawdown เกิดจากอะไร?

    อย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ ว่า Drawdown เป็นเรื่องที่แทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย และเป็นสิ่งที่นักลงทุนทุกคนต้องได้เจอ ไม่ว่ามากหรือน้อย ซึ่งสาเหตุของการขาดทุน หรือ Drawdown นั้น มีอยู่หลายสาเหตุด้วยกัน การศึกษาสาเหตุในการเกิด Drawdown จะช่วยให้นักลงทุนสามารถหลีกเลี่ยงการขาดทุนได้

    • การมีกลยุทธ์ในการลงทุนที่ไม่ดีพอ ซึ่งอาจไม่ได้หมายถึงเพียงแผนการลงทุน แต่ยังรวมไปถึงเครื่องมือที่นักลงทุน นำมาใช้ในการเทรด เช่น อินดิเคเตอร์ หรือเครื่องมือวิเคราะห์ เป็นต้น ทั้งนี้ หากเทรดเดอร์ มีความรู้ และเลือกเครื่องมือการวิเคราะห์ที่เหมาะกับสไตล์การเทรดของนักลงทุน ก็จะช่วยนักลงทุนป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้พอสมควร

    • นักลงทุนบางส่วน โดยเฉพาะมือใหม่ อาจขาดการบริหารจัดการเงิน (money management) ที่ดี เหตุผลนี้ อาจทำให้นักลงทุนต้องเจอการขาดทุนสะสม จนทำให้ Drawdown เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการเงิน เป็นสิ่งที่นักลงทุน หรือเทรดเดอร์สามารถ ศึกษาเรียนรู้ และสั่งสมประสบการณ์ได้


    • การใช้อารมณ์ในการเทรด เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้นักลงทุนจำนวนมากขาดทุนจากการเทรด บางคนอาจจะมีความรู้สึกอยากเอาชนะ หรือมีความโลภ หรือปล่อยให้อารมณ์มามีผลเหนือการตัดสินใจในการเทรด โดยไม่เชื่อการวิเคราะห์ของเครื่องมือ หรือทำให้ละเลยเหตุผลไป หากนักลงทุนสามารถควบคุมอารมณ์ โดยไม่ยอมให้มันมาเป็นนายของเรา ระหว่างที่ทำการซื้อ-ขายได้ จะช่วยลดความเสี่ยงของ Drawdown ที่อาจเกิดขึ้นได้

    Comments

    • December 7, 8.00
      D. jhon shikon milon

      Is this article helpful to you?

      LikeReply