วิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
หลายๆคนก็ได้เริ่มทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือน ซึ่งทุกๆคนก็มีหน้าที่ที่จะต้องเสียภาษี แต่หลายๆคนก็สงสัยกันใช่มั้ยว่า การคำนวณภาษีนี่มันคำนวณจากอะไร เช่น ถ้าเราเงินเดือนเท่านี้จะเสียภาษีเท่าไหร่ ซึ่งบทความนี้ก็จะเขียนถึงว่าการคำนวณมันคำนวณจากอะไร และสามารถคิดภาษีได้อย่างไร โดยมนุษย์เงินเดือนนั้นจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งตามกฎหมายนั้นกำหนดให้ผู้มีเงินได้ต้องทำการจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตอนสิ้นปี เพื่อยื่นแบบแสดงรายการที่ต้องชำระภาษี ซึ่งสำหรับมนุษย์เงินเดือนนั้นมีวิธีการคำนวณแบบเดียวเท่านั้นคือแบบ ขั้นบันได
ภาษีแบบขั้นบันได
ก่อนอื่นเราต้องทำความรู้จักกับภาษีแบบขั้นบันไดกันก่อน โดยการคำนวณภาษีแบบวิธีนี้นั้นจะแบ่งเงินได้สุทธิมาคำนวณ โดยในแต่ละขั้นมันก็แตกต่างกันตามรายได้ของแต่ละคน ซึ่งมันก็จะแปรผันตรงกับรายได้ คือ ยิ่งรายได้มาก ก็ยิ่งเสียภาษีมาก เปรียบเสมือนขั้นบันได ซึ่งอัตราภาษีแบบขั้นบันได้นั้นจะแบ่งเป็นดังนี้
อัตราภาษีแบบขั้นบันได
อัตราภาษีแบบขั้นบันไดนั้น จะเป็นไปแบบตารางด้านล่าง แต่ก่อนที่จะรู้ว่าเราต้องเสียภาษีเท่าไหร่ เราก็ต้องมาคำนวณก่อนว่าเรามีรายได้สุทธิเท่าไหร่
เงินได้สุทธิต่อปี |
อัตราภาษี |
ภาษีสูงสุดที่ต้องเสียในขั้นนี้ |
0 – 150,000 บาท |
ยกเว้นอัตราภาษี |
– |
150,001 – 300,000 บาท |
5% |
7,500 บาท |
300,001-500,000 บาท |
10% |
20,000 บาท |
500,001-750,000 บาท |
15% |
37,500 บาท |
750,001-1,000,000 บาท |
20% |
50,000 บาท |
1,000,001-2,000,000 บาท |
25% |
250,000 บาท |
2,000,001-5,000,000 บาท |
30% |
900,000 บาท |
5,000,000 บาทขึ้นไป |
35% |
|
วิธีการคำนวณรายได้สุทธิ
.jpg)
การคำนวณรายได้สุทธิคำนวณอย่างไร ก่อนอื่นต้องมารู้จักคำศัพท์ในการคำนวณกันก่อน
1.รายได้ รายได้ในที่นี้ไม่ได้แค่หมายถึง รายได้ของเราในแต่ละเดือน แต่มันหมายถึงรายได้ทั้งหมดที่คุณได้รับใน 1 ปีภาษี โดยรวมทั้งเงินเดือนที่คุณได้จากงานประจำและงานเสริมของคุณ รวมถึงรายได้ที่คุณได้มาในระหว่างการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นโบนัส เงินปันผล รายได้จากการขายของ เป็นต้น
2.ค่าใช้จ่าย คือต้นทุนในการทำธุรกิจต่างๆ หรือสิ่งที่คุณถูกหักไปจากเงินเดือน ซึ่งจะถูกหักค่าใช้จ่ายได้ไม่เท่ากัน เช่นรายได้เป็นเงินเดือน โบนัส และค่าจ้าง สามารถหักค่าใช้จ่ายได้แบบเหมา 50% ของค่าใข้จ่ายแต่ต้องไม่เกิน 100000 บาท ซึ่งคุณสามารถดูได้ที่ตารางด้านล่างว่า ค่าใช้จ่ายที่หักได้มีอะไรบ้าง
ประเภทเงินได้ |
หักค่าใช้จ่าย |
1. เงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส เบี้ยเลี้ยง |
50% ไม่เกิน 100,000 บาท |
หากมีเงินได้ประเภทที่ 1 และ 2 ให้นำเงินได้ทั้ง 2 ประเภท |
|
2. เงินได้จากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้ ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ฯลฯ |
รวมกันแต่หักได้ไม่เกิน 100,000 บาท |
3. ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่น |
50% ไม่เกิน 100,000 บาท หรือตามจริง |
4. ดอกเบี้ย เงินปันผล ส่วนแบ่งกำไร ฯลฯ |
หักค่าใช้จ่ายไม่ได้ |
5. รายได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน การผิดสัญญาเช่าซื้อ การผิดสัญญาซื้อขายเงินผ่อน |
|
- บ้าน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง แพ |
ตามจริงหรืออัตราเหมา |
- ที่ดินที่ใช้ในการเกษตร |
30% |
- ที่ดินที่มิได้ใช้ในการเกษตร |
20% |
- ยานพาหนะ |
15% |
- ทรัพย์สินอื่น |
30% |
|
10% |
6. วิชาชีพอิสระ |
ตามจริงหรืออัตราเหมา |
- ประกอบโรคศิลปะ |
60% |
- กฎหมาย วิศวกรรม สถาปัตยกรรม บัญชี ประณีตศิลปกรรม |
30% |
7. รับเหมาก่อสร้าง |
ตามจริงหรืออัตราเหมา 60% |
8. รายได้อื่น นอกเหนือจาก 1-7 * |
ตามจริงหรืออัตราเหมา 40% และ 60% |
3.ค่าลดหย่อน อันนี้เป็นสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีของเรา ทำให้เราเสียภาษีน้อยลง หรืออาจจะได้รับภาษีคืนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ที่มนุษย์เงินเดือนมักจะมาลดหย่อนได้แก่ ประกันชีวิต และกองทุนต่างๆ เป็นต้น
การคำนวณเงินได้สุทธิในแต่ละปี
ก่อนอื่นเราต้องเริ่มทำการคำนวณ เงินได้สุทธิก่อน เพราะเจ้าตัวเงินได้สุทธิเนี่ย จะเป็นตัวที่เรานำมาคิดฐานภาษีที่จะคำนวณภาษีที่เราต้องจ่ายในขั้นตอนถัดไป ซึ่งเราจะต้องนำรายได้ตลอดปีของเรา ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนต่อปี รายได้จากอาชีพเสริม อื่นๆ มาลบกับค่าใช้จ่ายตามประเภทของรายได้ และมาหักลบกับรายการลดหย่อนภาษี
โดยสมการเป็นดังนี้
เงินได้สุทธิ = รายได้ต่อปี – ค่าใช้จ่ายต่อปี – ค่าลดหย่อนที่เรามีสิทธิที่จะลดหย่อน
ยกตัวอย่างเช่น
นาย ก มีรายได้จากเงินเดือนที่บริษัทแห่งหนึ่ง เดือนละ 50000 บาท ดังนั้น
รายได้ต่อปีของ นาย ก จะเท่ากับ = 50000 บาท x 12 เดือน = 600,000 บาทต่อปี
มีค่าใช่จ่ายที่คิดแบบเหมาปีละ 100,000 บาท
และรายการลดหย่อนของนาย ก มีดังนี้
จ่ายค่าประกันสังคมต่อปีเท่ากับ 9,000 บาทต่อปี และมีการลงทุนในกองทุน LTF 50,000 บาท และค่าลดหย่อนส่วนตัวอีก 60,000 บาท
โดยสมการจะเป็นดังนี้
เงินได้สุทธิ = รายได้ต่อปี – ค่าใช้จ่ายต่อปี – ค่าลดหย่อนที่เรามีสิทธิที่จะลดหย่อน
เงินได้สุทธิของนาย ก = 600,000 – 100,000 – (9000 + 50,000+ 60,000) = 381,000
เพราะฉะนั้นรายได้สุทธิของนาย ก จะอยู่ที่ 381,000 บาท จากนั้นเราก็มาดูว่ามันตรงกับขั้นภาษีแบบอัตราขั้นบันไดที่ขั้นไหน ซึ่งพอกลับขึ้นไปดูในตารางอัตราภาษีแบบขั้นบันได้ เราก็จะมาคำนวณต่อเป็นขั้นบันไดดังนี้
1.ภาษีแบบขั้นบันได ขั้นที่ 1
ช่วงเงินได้ขั้นที่ 1 = 150,000 x 0 = 0 บาท
2.ภาษีแบบขั้นบันได ขั้นที่ 2
ช่วงเงินได้ขั้นที่ 2 = 150,000 x 5% = 7,500 บาท
3.ภาษีแบบขั้นบันได ขั้นที่ 3
ช่วงเงินได้ขั้นที่ 3 = 81,000 x 10% = 8,100 บาท
โดยจะเห็นได้ว่ารายได้สุทธิของนาย ก จะถูกใช้ในแต่ละขั้นบันไดจนครบ 381,000 บาท
เพราะฉะนั้นภาษีที่นาย ก จะต้องเสียจะเท่ากับ = 7,500 + 8,100 = 15,600 บาท
จะเห็นได้ว่าหากเรามีเงินได้สุทธิมากแค่ไหน ก็ต้องเสียภาษีมากขึ้นเท่านั้น เพราะการคำนวณภาษีแบบอัตราขั้นบันไดนั้น ยิ่งเงินได้คุณยิ่งมากเท่าไหร่ คุณก็ต้องยิ่งเสียภาษีมากขึ้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นการวางแผนที่จะจ่ายภาษีในแต่ละปีๆ เป็นเรื่องที่สำคัญ และที่ขาดไม่ได้คือ การหาสิ่งที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษี ไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุน LTF และ RTF เป็นต้น เพราะถ้าหากเรายิ่งมีสิ่งที่นำมาลดหย่อนภาษีเราเยอะ เราก็อาจจะมีโอกาสที่ได้รับเงินคืนภาษีเยอะมากขึ้นเช่นกัน
ข้อดีของการคำนวณภาษีด้วยตนเอง
1.ทำให้สามารถวางแผนได้ง่าย โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันครบกำหนดที่จะยื่นภาษีแล้วค่อยทำ และการวางแผนไว้ก่อนนั้นมันก็เป็นข้อดีกับเราตรงที่เราสามารถนำเงินไปลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีได้ก่อน ไม่ว่าจะเป็น LTF หรือ RMF เพื่อให้ได้สิทธิในการลดหย่อนมากๆ
2.เราสามารถตรวจสอบได้ เพราะ เราเป็นคนคำนวณเองและยื่นภาษีเอง ดังนั้นหากกรมสรรพกรมีข้อสงสัย เราจะสามารถตอบคำถามเขาได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าลดหย่อนต่างๆ หรือค่าใช้จ่ายต่างๆ
3. เข้าใจระบบในการคิดภาษีมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการคิดคำนวณเองจะทำให้เรารู้กลไกลต่างๆในการคิด ไม่ว่าจะเป็นอัตราภาษี รวมถึงค่าลดหย่อนต่างๆ พอเราเข้าใจแล้ว เราก็จะไม่ค่อยเกิดข้อผิดพลาดในครั้งต่อๆไปเช่นกัน
ข้อเสียของการคำนวณภาษีด้วยตนเอง
1.หากผู้ที่ยังไม่เคยลองคำนวณด้วยตัวเองอาจจะเกิดความสับสนได้ว่าคำนวณอย่างไร และอาจจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้
2.อาจจะคำนวณผิดพลาดและแจ้งยอดที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ทำให้เวลาขอคืนภาษีอาจจะไม่น้อยกว่าความเป็นจริง
ซึ่งผู้เขียนก็หวังว่าบทความนี้มีประโยชน์ต่อทุกๆคนที่ต้องการยื่นภาษีไม่มากก็น้อย ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการวางแผน ถ้าเราวางแผนได้ดีก็จะทำให้กระบวนการทุกอย่างรวดเร็วและไม่ซับซ้อน และสามารถนำไปต่อยอดในการเสียภาษีได้อีกในอนาคตได้อีกด้วย รวมถึงยังมีความรู้เพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นด้านการลดหย่อน ซึ่งก็จะเกิดผลดีกับตัวเองอีกด้วย ดังนั้นผู้เขียนก็ขอจบการเขียนบทความนี้ไว้เพียงเท่านี้ และหวังว่าผู้อ่านที่กำลังจะยื่นภาษีจะเข้าใจการคิดคำนวณด้วยตัวเองมากยิ่งขึ้น
Comments
D. jhon shikon milon
Is this article helpful to you?
LikeReply