Hedging คืออะไร?: กลยุทธ์ Hedging และพื้นฐานการ Hedging
1.Hedging คืออะไร? พื้นฐานการ Hedging
ทำความรู้จัก Hedging กลยุทธ์หนึ่งในการลดความเสี่ยง หรือป้องกันความเสี่ยง ที่อาจเกิดขึ้นได้ในตลาด Forex และพื้นฐานในการ Hedging ซึ่งมีหลายวิธี กลยุทธ์ Hedging เป็นกลยุทธ์ที่สามารถนำไปใช้ได้กับทุกตลาดการเงิน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ตลาดทองคำ หรืออื่นๆ แต่ตลาด Forex เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุด และเป็นตลาดที่มีสภาพคล่อง และความผันผวนสูงทำให้นักลงทุนนิยมใช้กลยุทธ์ Hedging กับตลาด Forex ค่อนข้างมาก
ตลาดฟอเร็กซ์เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดและมีสภาพคล่องมากที่สุดในโลก ด้วยขนาดของตลาดที่มีคู่เงิน (Currency pair) กว่า 330 คู่ให้นักลงทุน และนักเก็งกำไรทั่วโลกได้ซื้อ-ขาย ทำให้โบรกเกอร์ ต้องออกแบบกลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมาช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุนของนักลงทุนที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ ทางเศรษฐกิจ
โบรกเกอร์ Forex จะเสนอขายตราสารอนุพันธ์ (Financial derivatives) ให้กับนักลงทุน หรือบริษัทต่างๆ เพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยง ซึ่งนับเป็นการซื้อ-ขายในตลาดแบบไม่เป็นทางการ (Over-the-counter products) โดยเป็นการซื้อขายตราสารอนุพันธ์โดยเป็นการตกลงกันเองระหว่างผู้ลงทุนกับโบรกเกอร์ อย่างไรก็ตาม การซื้อ-ขายในรูปแบบนี้ถูกมองว่ามีความปลอดภัยน้อยกว่าการซื้อขายผ่านตลาดแลกเปลี่ยน
ยกตัวอย่างการประกันความเสี่ยงอีกรูปแบบหนึ่ง คือ การใช้ Currency option หรือการประกันค่าเงิน หรือการซื้อสัญญาที่ให้สิทธิในการซื้อ-ขายเงินตราต่างประเทศด้วยราคาที่กำหนดไว้ เช่น หากบริษัทญี่ปุ่นต้องการขายอุปกรณ์ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็อาจมีการปกป้องการทำธุรกรรม ด้วยการซื้อประกันค่าเงินที่จะทำกำไรในกรณีที่เงินเยนของญี่ปุ่นมีมูลค่าเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ในกรณีนี้ หากการทำธุรกรรม เกิดขึ้นโดยไม่มีการป้องกัน และเงินดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้น หรือมีเสถียรภาพเทียบเท่ากับเงินเยน บริษัทจะเสียเฉพาะค่า option หากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนตัวลง กำไรจากการประกันค่าเงิน หรือ option สามารถไปชดเชยส่วนที่เสียหาย หรือขาดทุน ตอนที่ได้รับเงินจากการขายสินค้ากลับคืนมา
การประกันความเสี่ยงสกุลเงิน (Currency Hedging)
การ Hedging สกุลเงิน หรือการประกันความเสี่ยงสกุลเงิน จึงหมายถึง การที่นักลงทุน เลือกใช้กลยุทธ์ใดกลยุทธ์หนึ่งในการประกันความเสี่ยง อาจจะเป็นการซื้อสัญญา ที่จะปกป้องการทำธุรกรรมจากอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน หรือความผันผวนในตลาดที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด นอกจากการซื้อสัญญาแล้ว นักลงทุน ยังสามารถ Hedging สกุลเงินได้ด้วยการซื้อข้ามสกุลเงิน ยกตัวอย่างเช่น การซื้อ EUR/USD และ USD/JPY รวมไปถึงการซื้อข้ามสกุลเงินเล็กๆ หรือสกุลเงินแปลกๆ ด้วย ทั้งนี้ เป็นเพราะอัตราแลกเปลี่ยนของเงินสามารถเปลี่ยนแปลง ขึ้น-ลงได้ตลอดเวลาตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และการเมืองในแต่ละประเทศ
2. กลยุทธ์ Hedging แบบต่างๆ ในตลาด Forex
2.1 การ Hedging แบบหลายคู่เงิน (Multiple currency pair)
นักลงทุน Forex สามารถป้องกันความเสี่ยงจากสกุลเงิน โดยการซื้อคู่เงินที่แตกต่างกัน 2 คู่ กล่าวคือ คุณสามารถเลือกตั้งสถานะซื้อ EUR/USD ในขณะเดียวกันก็ตั้งสถานะขาย USD/CHF หรืออาจจะสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ทั้งนี้ คุณจะสามารถประกันความเสี่ยง หรือลดความเสี่ยงจากสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) ได้
อย่างไรก็ตาม คุณอาจต้องรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากความผันผวนของเงินยูโร (EUR) และเงินสวิส ฟรังก์ (CHF) การซื้อคู่เงินหลายคู่แบบนี้ หมายความว่า ในกรณีที่เงินยูโร (EUR) แข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับค่าเงินอื่นๆ อาจส่งผลให้มีความผันผวนในคู่เงิน EUR/USD ซึ่งจะไม่ได้รับผลกระทบจากคู่เงิน USD/CHF กลยุทธ์การ Hedging คู่เงินแบบนี้ จึงไม่ใช่วิธีที่ควรพึ่งพา ยกเว้นว่าคุณจะสามารถเทรดคู่เงินหลายคู่ได้
ยกตัวอย่างให้เข้าใจมากขึ้น
-
คุณเปิดขายคู่เงิน EUR/USD และเปิดสถานะซื้อคู่เงิน GBP/USD
-
หากค่าเงินยูโรตกลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ สถานะการซื้อในคู่เงิน GBP/USD ก็จะขาดทุน
-
ทั้งนี้ การสูญเสียหรือขาดทุนนั้นจะได้รับการชดเชยจากกำไรที่คุณจะได้จากคู่เงิน EUR/USD
-
และหากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง การป้องกันความเสี่ยงนี้ก็จะหักล้างการสูญเสียที่เกิดจากการเปิดสถานะขาย
นอกจากนี้ ยังมีการ Hedging แบบ 3 คู่เงิน ในที่นี้จะใช้สกุลเงินยูโร (EUR) เงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) และเงินเยน (JPY) เป็นตัวอย่าง
สมมติว่า คุณซื้อคู่เงิน USD/JPY และ EUR/USD นั่นหมายความว่า คุณกำลังซื้อ EUR/JPY เนื่องจากสกุลดอลลาร์สหรัฐไปหักลบกันและกัน และหากคุณต้องการลดความเสี่ยง สิ่งที่คุณต้องทำคือ คุณต้องขายคู่เงิน EUR/JPY ซึ่งจะทำให้ได้สมการหน้าตาประมาณนี้
-
ซื้อคู่เงิน USD/JPY
-
ซื้อคู่เงิน EUR/USD
-
ขายคู่เงิน EUR/JPY
กล่าวคือ คุณทั้งซื้อ และขายเงินทั้ง 3 สกุล ไปพร้อมๆ กัน
นักลงทุนที่พอเริ่มคุ้นกับสมการด้านบน สามารถดัดแปลง นำเงินสกุลอื่นๆ มาจับคู่กันได้ ตารางด้านล่างเป็นตัวอย่างการจับคู่สกุลเงินหลักๆ ในโลก ที่นักลงทุนนิยมนำมาใช้ในการ Hedging
ซื้อ |
USDCAD |
NZDUSD |
AUDUSD |
USDJPY |
USDJPY |
ซื้อ |
EURUSD |
EURUSD |
GBPUSD |
EURUSD |
GBPUSD |
ขาย |
EURCAD |
EURNZD |
GBPAUD |
EURJPY |
GBPJPY |
2.2 การ Hedging โดยการซื้อประกันค่าเงิน (Options)
อีกวิธีหนึ่งที่นักลงทุนสามารถใช้เป็นการลดความเสี่ยงในการซื้อ-ขาย สกุลเงินได้ คือ การซื้อสัญญาประกันค่าเงินกับโบรกเกอร์ สัญญานี้ เรียกว่า option ซึ่งเป็นสัญญาที่จะมีการตกลงซื้อ-ขายอัตราเงินสกุลหนึ่งๆ ในราคาที่กำหนดในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการเปิดสถานะการซื้อ EUR/USD ที่ราคา 1.30 การจะรักษาสถานะ และราคานั้น คุณจะกำหนดจุดสิ้นสุดราคา (Forex srtike) ที่ 1.29 ใน option ของคุณ
หมายความว่า เมื่อคุณเลือกใช้กลยุทธ์ option แล้วราคา EUR/USD ตกลงไปต่ำกว่า 1.29 ตามช่วงเวลาที่มีการกำหนดไว้ในการประกันค่าเงินเมื่อไหร่ คุณจะได้รับเงินจากตามที่ option กำหนดไว้ ส่วนจะได้มากน้อยเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของตลาดในเวลาที่คุณซื้อ option และขนาดของ option ที่คุณซื้อ
อย่างไรก็ตาม หากราคา EUR/USD ไม่ขึ้นสูงถึงราคานั้นในช่วงเวลาที่กำนด นักลงทุนจะเสียแค่ค่าซื้อ option ยิ่งราคา option ของคุณห่างจากราคาตลาดมากเท่าไหร่ ณ เวลาที่ซื้อ option เงินที่คุณจะได้รับ ก็จะมากขึ้นเท่านั้น หากราคาสูงขึ้นภายในช่วงเวลาที่มีการกำหนดในสัญญาหรือ option
3. ควร Hedging ตอนไหน?
กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยง จะมีประโยชน์สำหรับนักลงทุนในเวลาที่คุณกำลังต้องรักษา position หรือสถานะของคู่เงิน ในขณะที่ต้องการหักล้างความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากสถานการณ์ของคู่เงินนั้นๆ การ Headging ในระยะสั้น จะเป็นประโยชน์ในแง่ที่ช่วยปกป้องผลกำไร ในเวลาที่นักลงทุนไม่มั่นใจต่อปัจจัยที่อาจส่งผลต่อความผันผวนของราคา ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยเรื่องการเหมาซื้อหลักทรัพย์ หรือปัจจัยด้านความมั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจก็ตาม ที่ทำให้เกิดการดิ่งลงจของราคาคู่เงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีที่คุณเปิดสถานะซื้อคู่เงินต่างๆ
นักลงทุนบางรายจะใช้กลยุทธ์ Hedging เพื่อลดความเสี่ยง จากความผันผวนของตลาดในช่วงสั้นๆ เมื่อมีการปล่อยรายงานข่าวเศรษฐกิจ หรือรายงานวิเคราะห์ตลาดในข่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ นักลงทุนควรรู้ว่า การใช้ Hedging ถึงแม้จะช่วยลดความเสี่ยง ขณะเดียวกัน ก็สามารถลดโอกาสในการทำกำไรเช่นกัน เนื่องจากเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลตอบแทนค่อนข้างต่ำ การ Hedging จึงเหมาะกับนักลงทุนเต็มเวลา หรือนักลงทุนมืออาชีพ และนักลงทุนที่มีพอร์ตใหญ่มากพอที่จะสามารถรายได้จำนวนมากจากกำไรที่มีเปอร์เซ็นต์จำกัดได้
นักลงทุนควรจำไว้เสมอว่า การ Hedging ควรถูกนำมาใช้ก็ต่อเมื่อ คุณต้องการลดความเสี่ยง การ Hedging สามารถนำมาใช้เป็นกลยุทธ์หลักในการลงทุนของคุณได้ หากนักลงทุนมีความรอบคอบ และระมัดระวัง การ Hedging ควรถูกใช้โดยนักลงทุนที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลง และเวลาของตลาด Forex พอสมควร การนำกลยุทธ์ Hedging โดยไม่มีความเข้าใจมากพอ อาจทำให้เงินในบัญชีของคุณหายวับไปในพริบตาได้
Comments
D. jhon shikon milon
Is this article helpful to you?
LikeReply