รู้จักหุ้นอเมริกา: เทรดหุ้นอเมริกาตัวไหนดี?


    เชื่อว่าหลายคน น่าจะเคยได้ยินคำว่า “ดาว โจนส์” ผ่านหู ผ่านตามาบ้างไม่มากก็น้อย แต่มีใครรู้ว่า “ดาว โจนส์” ที่เราได้ยิน หมายถึงอะไร และมีความสำคัญอย่างไรต่อตลาดหุ้นอเมริกา บทความวันนี้ จะพาผู้อ่านมาเจาะลึก ทำความรู้จักหุ้นอเมริกา และตลาดหุ้นอเมริกาแบบลงรายละเอียด เราลองมาดูกันว่า บรรยากาศของตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างไรกันบ้าง


    1. ตลาดหุ้นอเมริกา


    สหรัฐอเมริกา มีตลาดหลักทรัพย์สำคัญๆ อยู่ 2 แห่ง คือ ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange) หรือที่นักลงทุนนิยมเรียกกันว่า NYSE ตลาดหลักทรัพย์แห่งนี้ ก่อตั้งขึ้นบนถนน วอลล์ สตรีท ในมหานครนิวยอร์ก เมื่อปี 1790 โดยมีศูนย์ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ ตั้งอยู่ที่เมืองมาวาห์ รัฐนิว เจอร์ซีย์


    ตลาดหลักทรัพย์อีกแห่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กันในตลาดหุ้นอเมริกาในปัจจุบัน คือ ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (Nasdaq Stock Exchange) ซึ่งเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ก่อตั้งขึ้นภายหลังตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ในปี 1971 และเป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกที่มีการซื้อ-ขายผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์


    เราลองมาดูกันว่าตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 2 แห่ง มีรายละเอียดเหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้าง


    NYSE

    Nasdaq

    ซื้อ-ขาย ณ ที่ตั้ง และผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์

    ซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น

    Dealer's market, not direct

    Auction market facilitating direct trades

    ตลาดกว้าง มีบริษัทหลากหลายประเภท

    ตลาดแคบ (บริษัทด้านเทคโนโลยีเป็นส่วนใหญ่)

    ความผันผวนต่ำ

    ความผันผวนสูง เน้นการเติบโต



    1.1 ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (New York Stock Exchange: NYSE) ตลาดหลักทรัพย์ที่ตั้งอยู่ที่วอลล์ สตรีทแห่งนี้ คือ ตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก วัดจากมูลค่าตลาดของมัน ซึ่งอยู่ที่ 24.4 ล้านล้าน ดอลลาร์สหรัฐฯ (ข้อมูลเดือนพฤษภาคม 2021) โดย NYSE ได้เข้ามาอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2006 ต่อมาได้ผนวกรวมเข้ากับตลาดหลักทรัพย์ยูโรเนกซท์ (Euronext) ของยุโรป


    ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก มีทั้งหมด 21 ห้อง ซึ่งถูกจัดไว้เป็นพื้นที่ทำการซื้อ-ขาย โดยในปัจจุบัน การซื้อขายใน NYSE เปลี่ยนมาทำบนระบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น แต่ก็ยังมีการใช้ระบบการซื้อ-ขายแบบ ณ ที่ตั้ง (on-floor trading) อยู่ เวลาเปิดทำการของ NYSE คือ ตั้งแต่ 9.30 - 16.00 น. (เขตเวลาตะวันออก) ตั้งแต่วันจันทร์ ถึงศุกร์ ปิดทุกวันหยุดของรัฐบาลกลาง หากวันหยุดรัฐบาลกลางตรงกับวันเสาร์ ตลาดอาจปิดวันศุกร์ และหากวันหยุดตรงกับวันอาทิตย์ ตลาดอาจปิดในวันจันทร์


    หุ้นที่มีการซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กที่เรารู้จักกันดี ก็มีตั้งแต่ Alibaba, Visa, Johnson & Johnson, Walmart, Exxon Mobil, Walt Disney, Coca-cola, Pfizer, Toyota, Boeing, Nike เป็นต้น


    1.2 ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก (Nasdaq Stock Exchange) ก่อตั้งขึ้นในปี 1971 และนับเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการซื้อ-ขาย อย่างเต็มรูปแบบเป็นแห่งแรกของโลก และเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ด้วยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 20.87 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ



    ตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก ดึงดูดบริษัทด้านเทคโนโลยี และธุรกิจที่มุ่งเน้นไปที่การเติบโตมากกว่าอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต โดยหลักทรัพย์ หรือหุ้นดังๆ ที่เทรดบนตลาดหลักทรัพย์แนสแด็ก ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ได้แก่ Apple, Amazon, Microsoft, Facebook, Tesla, Starbucks,PayPal, Netflix, Adobe, Costco, Moderna เป็นต้น เนื่องจากบริษัทส่วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็กมุ่งเน้นไปที่การเติบโต ทำให้หุ้นเหล่านี้มีความผันผวนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก


    เวลาเปิดทำการของ Nasdaq คือ 9.30 - 16.00 น. เหมือน NYSE แต่ต่างกันตรงที่ Nasdaq มีชั่วโมงก่อนเปิดตลาด (pre-market hours) ตั้งแต่ 04.00 - 9.30 น. และชั่วโมงหลังปิดตลาด (post-market hours) ระหว่าง 16.00 - 20.00 น. ให้นักลงทุนได้เทรด


    2. เทรดหุ้นอเมริกาตัวไหนดี?: 7 หุ้นอเมริกาที่น่าสนใจในปี 2021


    2.1 PayPal Holdings (PYPL)

    PayPal เป็นแพลตฟอร์มดิจิตอลที่ให้บริการธุรกรรมการโอนเงินที่ใหญ่ที่สุด และเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุดบริษัทหนึ่งในตลาดหุ้นอเมริกา ปัจจุบัน มีมูลค่าตลาดที่ 343.77 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ พัฒนาการของการทำธุรกรรมออนไลน์นับเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่สำคัญต่อโลก และมีแนวโน้มการเติบโตอย่างสูงในปัจจุบัน ทำให้ PayPal เป็นหุ้นหนึ่งตัวที่นักลงทุนควรให้ความสนใจ




    2.2 Castle Biosciences (CSTL)


    Castle Biosciences เป็นบริษัทวิจัย และวินิจฉัยโรคด้านผิวหนังที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลพันธุกรรมส่วนบุคคลมาประกอบการรักษา เป็นหุ้นที่ติด 1 ใน 100 บริษัทมหาชนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในฮุสตัน จัดอันดับโดยหนังสือพิมพ์ Houston Chronicle ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดในฮุสตัน รัฐเท็กซัส ปัจจุบัน Castle Biosciences มีมูลค่าตลาดที่ 1.80 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ



    2.3 Hilton Worldwide Holdings (HLT)

    Hilton Worldwide Holdings เป็นบริษัทด้านอุตสาหกรรมบริการ ทั้งการเป็นเจ้าของโรงแรมต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงธุรกิจให้เช่า ขายแฟรนไชส์โรงแรม และรีสอร์ท และการร่วมทุนในกิจการต่างๆ ด้านการบริการ และอสังหาริมทรัพย์ บริษัทก่อตั้งเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2010 ปัจจุบันมีมูลค่าตลาด 35.5 พันล้านดอลลอร์สหรัฐ เป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ก็เป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่ได้รับการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ และนักลงทุนว่าจะฟื้นตัวขึ้นในปี 2021


    2.4 Alibaba Group (BABA)

    Alibaba Group คือบริษัทค้าปลีกทางอินเตอร์เน็ตที่่มีการเติบโตมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดสูงถึง 567.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Alibaba มีรายได้เพิ่มขึ้นถึงสามเท่าในสามปีที่ผ่านมา หุ้นของ Alibaba ก็ได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุนทั่วโลก ทำให้มันเป็นหนึ่งในหุ้นที่ควรจับตามองอีกหนึ่งหุ้นในปี 2021


    2.5 Zoom Video Communications Inc. (ZM)

    Zoom Video Communications เป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีด้านการติดต่อสื่อสาร ซึ่งทำแพลตฟอร์มการประชุมด้วยวีดิโอ ที่เรียกว่า Zoom สามารถใช้งานได้ทั้งระบบวีดิโอ เสียง การแชร์คอนเทนต์ และแชค สำหรับทั้ง PC,  สมาร์ทโฟน, โทรศัพท์ และระบบห้อง Zoom ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่การประชุมออนไลน์จากบ้าน และการทำงานที่บ้าน เป็นเรื่องปกติ บริษัทก่อตั้งขึ้นโดยอีริค ยวน (Eric S. Yuan) ในปี 2011 โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ ซาน โฮเซ่ แคลิฟอร์เนีย ปัจจุบัน มูลค่าตลาดของ Zoom อยู่ที่ 118.19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ


    2.6 Tesla Inc. (TSLA)

    Tesla เป็นบริษัทยานยนต์ที่มีมูลค่าตลาดที่สูงที่สุดในโลกในปัจจุบัน โดยมีมูลค่าตลาดที่ 635.39 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเป็นหนึ่งในบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก Tesla เป็นบริษัทพลังงานสะอาด ระบบผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ และสินค้าที่เกี่ยวกับการกักเก็บพลังงาน Tesla ก่อตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2003 เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ถือเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการยานยนต์และพลังงานสะอาดของโลก ที่ไม่พูดถึงไม่ได้


    2.7 Boston Scientific Corp. ( BSX)

    Boston Scientific Corp. เป็นบริษัทผู้ผลิตและผู้พัฒนาอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์ระดับโลก สินค้าของบริษัทถูกนำมาใช้ในการวินิจฉัยโรคที่ซับซ้อนในหลากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นหลอดเลือดหัวใจ ระบบทางเดินหายใจ ระบบย่อยอาหาร ระบบประสาท ระบบทางเดินปัสสาวะ และกระดูกเชิงกราน ปัจจุบัน บริษัทมีพนักงานกว่า 38,000 คนทั่วโลก และสินค้าของบริษัทถูกใช้รักษาคนไข้กว่า 30 ล้านคนทั่วโลก Boston Scientific Corp. ก่อตั้งในปี 1979 ปัจจุบัน มีมูลค่าตลาดกว่า 61.98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ



    3. รู้จักดัชนีหุ้นอเมริกา

    เราได้ทำความรู้จักตลาดหุ้น และหุ้นอเมริกาไปกันพอหอมปากหอมคอแล้ว นอกจากหุ้นรายตัว ซึ่งมีเยอะแยะมากมายแล้ว นักลงทุนส่วนมาก เลือกที่จะลงทุนกับดัชนีหุ้น มากกว่าการซื้อหุ้นรายตัว ปัจจุบัน ดัชนีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อเมริกามีมากกว่า 5,000 ดัชนี ซึ่งมักจะถูกแบ่งตามมูลค่าตลาดของหุ้น หรืออาจแบ่งหุ้นออกเป็นดัชนี แยกตามประเภทของธุรกิจ อย่างไรก็ตาม ดัชนีหุ้นใหญ่ๆ ของอเมริกา ที่นักลงทุนควรรู้จัก มีอยู่ 3 ดัชนี ได้แก่ S&P 500, Dow Jones Industrial Average และ Nasdaq Composite ซึ่งน่าจะพอคุ้นหูกันอยู่ เราจะพาไปลงรายละเอียดว่าแต่ละดัชนีใหญ่ๆ ที่ว่ามา มีหุ้นอะไรบ้าง

    3.1 S&P 500



    ดัชนีหุ้น S&P 500 เป็นดัชนีที่รวมเอาหุ้น 500 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในสหรัฐอเมริกาเข้าด้วยกัน ก่อตั้งขึ้น วันที่ 4 มีนาคม ปี 1957 S&P คือตัวย่อของ Standard Statistics Bureau และ Henry Varnum Poor ซึ่งเป็นชื่อสองบริษัทการเงินที่ก่อตั้งดัชนีขึ้น ส่วน 500 หมายถึงจำนวนบริษัททั้งหมดที่ถูกลิสต์ในดัชนีนี้ ดัชนี S&P 500 เป็นดัชนีที่แสดงผลการดำเนินงานของตลาดหุ้น โดยรายงานความเสี่ยง และผลตอบแทนของบริษัทต่างๆ นักลงทุนจะใช้ดัชนี้เป็นเกณฑ์มาตรฐานในการวัดตลาดโดยรวม

    จากข้อมูลเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2020 พบว่า ดัชนี S&P 500 มีผลตอบแทนเฉลี่ยในรอบ 10 ปี อยู่ที่ 12.66% และจากข้อมูลเดือนมิถุนายน 2021 ที่ผ่านมา มูลค่าตลาดของ S&P 500 อยู่ที่ 36.37 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ บริษัทใหญ่ๆ ที่ลิสต์อยู่ในดัชนี S&P 500 มีตั้งแต่ Apple, Microsoft , Amazon, Facebook, Alphabet, Johnson & Johnson, Berkshire Hathaway B, Proctor & Gamble และ Visa Inc. A เป็นต้น

    สัดส่วนของประเภทธุรกิจของบริษัทในดัชนี S&P 500 สามารถแบ่งออกได้เป็น เทคโนโลยีข้อมูล 27.5% สุขภาพ 14.6% สินค้าฟุ่มเฟือย 11.2% บริการด้านการสื่อสาร 10.9% การเงิน 9.9%อุตสาหกรรม 7.9% สินค้าอุปโภค บริโภค 7.0% สาธารณูปโภค: 3.1% อสังหาริมทรัพย์ 2.8% วัสดุ 2.6% และธุรกิจด้านพลังงาน 2.5%


    3.2 Dow Jones Industrial Average



    Dow Jones Industrial Average หรือที่คนไทยเราได้ยินกันว่า “ดาว โจนส์” อยู่บ่อยๆ คือดัชนีหุ้นที่แสดงการเคลื่อนไหวราคาหุ้นของบริษัทใหญ่ 30 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์อเมริกา หรือที่เรียกกันว่า หุ้น Blue-chip เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูง และมีสเถียรภาพค่อนข้างมาก

    Dow Jones Industrial Average ตั้งชื่อดัชนีตาม Charles Dow และ Edward Jones เป็นดัชนีที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1896 โดยในยุคนั้น ดัชนีนี้ยังมีอยู่แค่ 12 บริษัท และบริษัทส่วนใหญ่ ยังเป็นบริษัทในด้านอุตสาหกรรม เช่น รางรถไฟ ฝ้าย แก๊ส น้ำตาล ยาสูบ และน้ำมัน เป็นต้น Dow Jones Industrial Average เป็นอีกดัชนีหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน และเป็นเหมือนเกณฑ์มาตรฐานของหุ้นอเมริกา

    บริษัทที่อยู่ใน “ดาว โจนส์” มีทั้งหมด 30 บริษัท ชื่อที่เรารู้จักกันดี ก็ได้แก่ Apple, Boeing, Microsoft, Walt Disney, Intel, Procter & Gamble, Coca-Cola, McDonald's, Visa, Cisco Systems, Johnson & Johnson, American Express, Merck & Co, Walmart, Chevron, Nike และ JPMorgan Chase & Co เป็นต้น


    3.3 Nasdaq Composite Index



    Nasdaq Composite Index ต่างจากสองดัชนีก่อนหน้า ตรงที่มันเป็นดัชนีที่รวมเอาหุ้นมากกว่า 2,500 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็กไว้ด้วยกัน โดยมีทั้งหุ้นทั่วไป, ใบรับฝากหลักทรัพย์อเมริกัน (ADRs) กองทุนเพื่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (REITs)

    หุ้นเกือบ 50% ของดัชนี Nasdaq Composite Index เป็นหุ้นของบริษัทด้านเทคโนโลยี ตามมาด้วย บริษัทด้านการบริการลูกค้า สุขภาพ และการเงิน โดยดัชนีจะถูกคำนวณตลอดทั้งวัน และมีการรายงานผลดัชนีที่เวลา 16.16 น. ของทุกวัน หลังจากปิดตลาดไปในเวลา 16.00 น. (ET)

    บริษัทที่อยู่ในดัชนีนี้ ที่เรารู้จัก ประกอบด้วย Apple, Microsoft, Amazon, Facebook, Alphabet Class C, Tesla, NVIDIA, PayPal Holdings, Netflix, Adobe, Cisco Systems, PepsiCo, Broadcom, Texas Instruments, Pinduoduo และ T-Mobile US เป็นต้น

    Comments

    • December 7, 8.00
      D. jhon shikon milon

      Is this article helpful to you?

      LikeReply