สเปรด spread คือ? ราคาสเปรดและการคำนวณ
สเปรดของบิด – อาสก์ spread คือ?
บิด (Bid) คือราคาเสนอซื้อ ส่วนอาสก์ (Ask) คือราคาเสนอขาย ในการเทรดหุ้น ฟอร์เร็กซ์ หรือหลักทรัพย์ต่าง ๆ ผู้จะซื้อ (Buyer) และจะขาย (Seller) จะประเมินราคาเสนอซื้อและเสนอขาย ราคาส่วนต่างของราคาเสนอซื้อและเสนอขาย จะเรียกว่าสเปรด (Spread)
Ask Price – Bid Price = Spread Price
ข้อสังเกตสำคัญของการเทรดคือ ในโลกของการเทรดสินทรัพย์ ผู้จะซื้อและผู้จะขายมีอิสระเสรีในการเลือกราคาที่ตนพึงพอใจ ต่างกับการซื้อขายสินค้าทั่วไปในชีวิตประจำวัน ที่ผู้ขายมักตั้งราคาไว้ ส่วนผู้ซื้อต้องประเมินว่าราคานั้นควรค่าแก่การจ่ายเงินหรือไม่ โดยไม่มีอำนาจกำหนดราคาที่ต้องการซื้อได้ (ไม่ใช่การต่อรองราคา)
ราคาของ Ask Price จะสูงกว่า Bid Price อยู่เล็กน้อย ส่วนต่างราคาของทั้งสองราคานั้น เราเรียกว่า “สเปรด” (Spread) มูลค่าของสเปรดนี้ จะตกไปเป็นของโบรกเกอร์ หรือคนกลางในการทำการซื้อขายครั้งนั้น ๆ สมมติว่า ในการเทรดหลักทรัพย์ชนิดหนึ่ง ณ เวลานั้นมีราคาเสนอซื้อสูงสุดที่ $30 และมีราคาเสนอขายสูงสุดที่ $25 ผู้ที่ “จะซื้อ” จะเช็กราคา Ask Price ส่วนผู้ที่ “จะขาย” จะเช็กราคา Bid Price กรณีนี้ ราคาสเปรดจะอยู่ที่ $5 โดยทั่วไป
ความแตกต่างของบิด – อาสก์
ราคาบิด (Bid Price) คือราคาสูงสุดผู้จะซื้อจะเสนอราคามา ส่วนราคาอาสก์ (Ask Price) คือราคาต่ำสุดที่ผู้จะขายยอมรับได้ เมื่อทั้งสองรายการจึงเกิดขึ้นราคานี้แมทช์กัน หากเป็นมูลค่าของสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง หรือสินทรัพย์ที่เป็นที่นิยม ช่วงของบิดและอาสก์ก็จะไม่กว้างมาก
ตัวอย่างของบิด – อาสก์ในชีวิตจริง
จะยกตัวอย่างให้เห็นถึงทั้งของการเทรดฟอร์เร็กซืและสินทรัพย์ ซึ่งมีวิธีการที่ไม่ต่างกัน
ตัวอย่างในการซื้อขายหุ้น หากผู้จะซื้อรายหนึ่ง ต้องการซื้อหุ้นจำนวน 1,000 หุ้นของบริษัทหนึ่ง ในมูลค่าทั้งหมด 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ หมายความเขาจะเสนอราคาจะซื้อ (Bid Price) ที่มูลค่าหุ้นละ 10 ดอลลาร์สหรัฐ (ราคาสูงสุดที่ผู้จะซื้อยินดีจะจ่าย) ในเวลาเดียวกัน ผู้ขายคนหนึ่ง ต้องการจะขายหุ้นจำนวนหนึ่งในมูลค่า 10 ดอลลาร์สหรัฐ เช่นนี้แล้ว การซื้อขายจึงเกิดขึ้นได้
แต่ถ้า ณ เวลานั้น มูลค่าตลาดของหุ้นตัวนั้นเป็น 9 ดอลลาร์สหรัฐ ผู้ขายอาจจำต้องขายออกไปด้วยมูลค่าดังกล่าว และจะได้รับเงิน 900 ดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนในการเทรดฟอร์เร็กซ์ จะสังเกตว่าจะใช้ทศนิยม 6 ตำแหน่ง ส่วนต่างราคา มักจะอยู่ที่ตั้งแต่ทศนิยมตำแหน่งที่ 3 ถึงทศนิยมตำแหน่งที่ 6 เช่นในการเทรดคู่สกุลเงิน USD/EUR สมมติว่ามีราคา Bid ที่ 1.1037 และราคา Ask ที่ 1.1039 หมายความว่า จะมีส่วนต่างราคาอยู่ที่ 0.0002 หรือเรียกว่า 2 “พิพส์” (Pips) คือทศนิยม 4 ตำแหน่ง แต่หากเป็นการเทรดคู่เงิน JPY พิพส์จะมี 2 ตำแหน่งเท่านั้น
มูลค่าของสเปรดในการเทรด
ต้องทำความใจก่อนว่า มีปัจจัยใดบ้างที่จะมากระทบต่อมูลค่าของค่าสเปรด
1) ความผันผวน (Volatility)
2) สภาพคล่อง (Liquidity)
เช่น ในการเทรดฟอร์เร็กซ์ หากคู่สกุลเงินนั้นอยู่ในความนิยม หรือกำลังเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง อาจจะด้วยการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือการบริหารจัดการภายในประเทศ ก็อาจส่งผลให้ส่วนต่างของค่าสเปรดของสกุลเงินนั้น ๆ ผันผวน ตรงกันข้ามกับคู่สกุลเงินอีกคู่ ที่ดำเนินไปอย่างราบเรียบดี ไม่มีปัญหาหรือเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ขึ้นมาแทรก ความผันผวนก็จะไม่มากเท่ากรณีแรก
หากคู่สกุลเงินหรือสกุลเงินใดมีกิจกรรมการเทรดในปริมาณ (Volume) มาก ค่าสเปรดก็จะไม่สูง (ลักษณะคล้ายกับอุปสงค์ และอุปทาน)
แล้วเหตุการณ์ใดบ้าง ที่จะคาดการณ์ไดว่าจะส่งผลต่อความผันผวนและสภาพคล่องของค่าเงิน?
ยกตัวอย่าง BREXIT ของสหราชอาณาจักร การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา
ความไม่แน่นอนทางการเมือง ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค คนอาจต้องการสำรองเงินสดไว้ใช้ เหตุการณ์ลักษณะนี้กระทบต่ออารมณ์ของผู้คนอย่างเลี่ยงไม่ได้ เมื่ออารมณ์ครอบงำพฤติกรรม กิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงหรือเร่งตัวขึ้นทางใดทางหนึ่ง ดังนั้น มูลค่าของอัตราแกเปลี่นขงประเภทนั้น ๆ จึงส่งผต่อมูลค่าการแลกเปลี่ยนร่วมกับสกุลอื่น ๆ
ราคาสเปรดและการคำนวณ
ในการคำนวณค่าสเปรดนั้น สมมติว่าที่คู่สกุลเงิน GBP/USD ในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่ง GBP มีมูลค่า 1.1532 เท่าของ USD เราในฐานะผู้จะซื้อ ได้เสนอซื้อไปด้วยราคานี้เพราะคาดการณ์ว่าน่าจะได้กำไร ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ขายได้เสนอราคาขาย (Ask Price) มาที่ 1.1534 ในเวลาเดียวกันนี้ ทั้งผู้จะซื้อและผู้จะขายจะไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่ตนต้องการ เพราะยังต้องคิดถึงส่วนต่างระหว่างมูลค่านั้นด้วย อาจจะเป็น 1.1530 สำหรับฝั่งผู้จะขาย ในขณะที่ผู้จะซื้อ ก็ต้องจ่ายที่ 1.1534 จึงทำให้มีส่วนต่างของสเปรดที่ 0.0004
จริงอยู่ ว่าอาจจะฟังดูเป็นมูลค่าที่น้อยมาก ๆ แต่โปรดอย่าลืมว่าในการเทรดนั้นเราจะเทรดครั้งละ “ล็อต” ซึ่งหนึ่งล็อตจะมีปริมาณเท่ากับ 10,000 หน่วย ดังนั้น จำนวนเงิน 10,000 ล็อต x 0.0004 สเปรด = 400 GBP เลยทีเดียว ซึ่งจะมากพอสำหรับการเป็นค่าคอมมิชชั่นของโบรกเกอร์
โบรกเกอร์แต่ละรายอาจกำหนดมาตรฐานการคิดสเปรดได้ 2 แบบ คือแบบตายตัวและแบบลอยตัว
แต่ถึงอย่างไร เราก็ยังมี 2 เทคนิกเล็ก ๆ ที่จะช่วยลดค่าสเปรดลงได้ ดังนี้
1) เทรดในช่วงเวลาที่เหมาะสม
หมายถึง การเข้าสู่ตลาดในเวลาที่คนส่วนใหญ่เข้าสู่ตลาด จากการที่มีผู้คนจำนวนมากนี้เอง ส่งผลเกิดการแข่งขันด้านราคาขึ้นมา เราจะยกตัวอย่าง 4 สกุลเงินที่ได้รับความนิยมในตลาด พร้อมช่วงเวลาการเทรดท่ควรเข้าสู่ตลาด (เวลาแสดงตามเวลาประเทศไทย)
GBP (ลอนดอน) |
19:00 – 0:00 น. |
USD (นิวยอร์ค) |
20:00 – 5:00 น. |
AUD (ซิดนีย์) |
5:00 – 14:00 น. |
JPY (โตเกียว) |
7:00 – 16:00 น. |
2) เทรดคู่สกุลเงินที่เป็นที่นิยม
กรณีเช่นนี้ ก็เป็นไปตามกลไกตลาด ยิ่งเป็นของที่เป็นที่นิยม คน (กรณีนี้คือโบรกเกอร์) ก็อยากขาย ค่าสเปรดก็จะไม่สูงเท่ากับการไปเทรดในคู่สกุลเงินหรือสกุลเงินที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในตลาด เมื่อนักเทรดเข้าสู่สนามการเทรดของสกุลเงินที่เป็นที่นิยม (เช่น USD, EUR, CNY, JPY, CHF, AUD) บรรดาโบรกเกอร์ต่างก็แข่งขันกันทำคะแนนเพื่อให้นักเทรดปิดดีลที่ตนเอง
ดังนั้น เพื่อลดการขาดทุนหรือเพิ่มความสามารถในการทำกำไร นักเทรดที่เก่งจะต้องมีความชำนาญพื้นฐานของการคำนวณ หูตาว่องไว รู้จักทิศทางของตลาดที่ตนเป็นผู้เล่นได้อย่างดี
เรื่องของสเปรดนั้นไม่ยากเลย เพียงแค่เข้าใจกฎเกณฑ์พื้นฐาน และกระบวนการการทำงานของโบรกเกอร์ ก็จะช่วยให้การเทรดของเราเป้นไปได้อย่างราบรื่น มีรายจ่ายไม่จำเป็นน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
Comments
D. jhon shikon milon
Is this article helpful to you?
LikeReply